การปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในประเทศไทย
สภาพปัญหาการทุจริตในประเทศไทยเป็นปัญหาที่มีแนวโน้มหนักหน่วงและรุนแรงมากขึ้น
หากปล่อยให้สภาพการณ์ยังดำเนินไปในลักษณะดังกล่าวอาจนำมาสู่ปัญหาการล้มละลายของประเทศ
แต่ในขณะเดียวกันการทุจริตคอรัปชั่นกลับสร้างความมั่งคั่งให้กับฝ่ายการเมืองที่แสวงประโยชน์จากการใช้อำนาจรัฐ
การแก้ไขปัญหาการทุจริตจึงมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับปัญหารทางการเมือง
ซึ่งในที่นี้จะแยกพิจารณาออกเป็น 2 หัวข้อ ดังนี้ 1. สภาพปัญหา 2. ประเด็นข้อ
พิจารณาและข้อเสนอ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. สภาพปัญหา
หากกล่าวโดยสรุปปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในสังคมไทยเป็นปัญหาที่มีมิติเกี่ยวข้องหลายมิติ
ซึ่งในที่นี้อาจสรุปได้ดังนี้
1.1
ปัญหาการทุจริตมีรากฐานใหญ่มาจากระบบการเมือง
เมื่อระบบการเมืองเป็นระบบรวมศูนย์ผูกขาดหรือที่เรียกว่า “ระบบเผด็จการรัฐสภาโดยพรรคการเมืองนายทุน”
ระบบนี้อาศัย”การให้ผลประโยชน์” ในรูปแบบต่างๆเป็นเครื่องผูกมัดระบบการเมือง
ซึ่งนำมาสู่การทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร
1.2
ความซับซ้อนของการทุจริตเชื่อมโยงกับการทุจริตเชิงนโยบาย
อาศัยอำนาจสูงสุดทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเป็นฐานในการดำเนินการ
โดยการทุจริตเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ
ตั้งแต่ชั้นการแปรญัตติงบประมาณจนไปถึงการดำเนินการในระดับพื้นที่
การที่องค์กรระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตยิ่งทำให้มีปัญหาในการตรวจสอบมากขึ้น
1.3
ระบบตรวจสอบรวมทั้งองค์กรที่รับผิดชอบขาดประสิทธิภาพ
การวางระบบองค์กรในการตรวจสอบให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งมีอำนาจในการตรวจสอบโดยองค์กรของรัฐอื่นๆไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก่อให้เกิดปัญหาในระบบการตรวจสอบของรัฐหลายประการ
ตั้งแต่ปัญหาการมีเรื่องเข้าสู่การพิจารณามากเกินกำลังของบุคลากร
ไปจนถึงการขาดการประสานร่วมมือกันขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ
1.4
ระบบการลงโทษไม่ก่อให้เกิดความตระหนักต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
สืบเนื่องจากระบบการตรวจสอบของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ ดังนั้นระบบการลงโทษจึงไม่ส่งผลให้เกิดความเกรงกลัวต่อผู้กระทำความผิด
ประเด็นสำคัญของการลงโทษคือประสิทธิภาพของการดำเนินการพิจารณาที่ใช้ระยะเวลาไม่นานนัก
เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
1.5
ประชาชนบางส่วนได้ประโยชน์จากการทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโครงการประชานิยม
กลุ่มบุคคลดังกล่าวมักจะเป็นฐานทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล ดังนั้น
การทุจริตดังกล่าวจึงนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายทางการเมือง
การทุจรติจึงไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองเพียงลำพังที่จะได้ประโยชน์
หากแต่มีการแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับเครือข่ายด้วย
1.6
การทุจริตเกี่ยวโยงกับภาคเอกชน ภาคการเมืองและภาคราชการ
การทุจริตทั้งหลายมิอาจสำเร็จผลได้จากการกระทำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
หากแต่มีความเกี่ยวข้องกับของหลายฝ่าย
ดังนั้นการแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นจึงมิใช่เพ็งเล่งแต่ภาคการเมืองและภาคราชการเท่านั้น
หากแต่ต้องดำเนินการคู่ขนานไปกับภาคเอกชนด้วย
ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การทุจริตคอรัปชั่นสำเร็จผลได้
1.7
การทุจริตมีปัญหารากฐานจากทัศนคติของผู้คนในสังคม ทัศนคติ
วัฒนธรรมและความแข็งในทางคุณธรรมของสังคมเป็นภาคสะท้อนถึงปัญหาการทุจริตของสังคมไทย
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการทุจริตในระยะยาวจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปลูกฝังคุณธรรม
ซึ่งเคยมีความเข้มแข็งในสังคมไทยให้กลับมาเข้มแข็งดังเดิม
2. ประเด็นข้อพิจารณา
มาตรการในการดำเนินการกับปัญหาการทุจริตอาศัยมาตรการหลัก
๕ ประการ ดังนี้ 2.1 ลดโอกาสการทุจริต
2.2 เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราม
2.3
สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคม
2.4
การบริหารภาครัฐมีความโปร่งใสมากขึ้น
2.5
การปรับเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับเรื่องทุจริต โดยมีประเด็นข้อพิจารณา ดังนี้
2.5.1 ลดโอกาสการทุจริต
-ควรเพิ่มความผิดฐาน “การร่ำรวยผิดปกติ” ให้เป็นความผิดทางอาญาด้วย
ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตฯ
ซึ่งไทยได้เข้าเป็นภาคีแล้ว
- ควรเพิ่มกรณีของ “สมคบกันทุจริต” ควรกำหนดให้เป็นความผิดตามแนวทางกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
เพื่อสามารถใช้เครื่องมือตามกฎหมายดังกล่าวมาใช้ในการป้องกันและปรามการทุจริตที่มีการสมคบกันทุจริตได้
- เรื่อง “การพัสดุ”ควรกำหนดให้เป็นพระราชบัญญัติเพื่อมิให้คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจในการยกเว้นการบังคับใช้ทั้งนี้เพื่อทำให้กระบวนการในการจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใสมากขึ้น
- รัฐมนตรีจะต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง
โดยให้เป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายประจำที่จะต้องรับผิดชอบ
ฝ่ายรัฐมนตรีหรือฝ่ายการเมืองเป็นเพียงผู้กำหนดนโยบายแต่การดำเนินการให้บรรลุตามนโยบายโดยเฉพาะกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายประจำ
- ความผิดทางจริยธรรมของนักการเมืองควรกำหนดให้มีองค์กรและความรับผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งนี้
หากอาศัยเกณฑ์เฉพาะความผิดในทางอาญามาใช้จะทำให้กระบวนการในการพิจารณา
รวมทั้งการรวบรวมพยานหลักฐานมีข้อจำกัดในการเอาผิดต่อฝ่ายการเมืองที่เกี่ยวข้อง
2.5.2
เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราม
- กำหนดให้ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” (ปปช.) และ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ”
(ปปท.) เป็นองค์กรในระดับ “องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
ซึ่งมีสถานะและการได้มาของกรรมการเช่นเดียวกับ ปปช.
- ปปช.
รับผิดชอบตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ส่วน
ปปท. รับผิดชอบตรวจสอบข้าราชการ โดยให้เป็นองค์กรอิสระจากฝ่ายบริหารและคณะรัฐมนตรี
- เมื่อมีการร้องเรื่องการทุจรติหน่วยต้นสังกัดมีหน้าที่รายงาน
ปปช. หรือ ปปท. และมีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นและรายงานต่อ ปปช.
หรือ ปปท. แล้วแต่กรณี
หากสรุปผลการสอบไม่มีความผิดทางวินัยก่อนแจ้งผลต่อผู้เกี่ยวข้องจะต้องรายงานต่อ
ปปช. หรือ ปปท. ก่อน และหากมีกรณีที่หน่วยงานต้นสังกัดช่วยเหลือหรือบิดเบือนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและหัวหน้าส่วนราชการจะต้องมีความผิดในทางอาญา
- ปปช.และ ปปท.
ควรมีอำนาจในการสอบสวนด้วย ไม่ใช่อาศัยการไต่สวนอย่างเดียว
ทั้งนี้เพื่อให้สามารถแสวงหาข้อเท็จจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เมื่อ
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน, ผู้ตรวจการแผ่นดิน, หรือหน่วยงานตรวจสอบที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องทุจรติแล้วเมื่อส่งเรื่องมาที่
ปปช. หรือ ปปท. ควรมีการตั้งอนุกรรมการร่วมกันเพื่อดำเนินการชี้มูลต่อไป
โดยไม่ต้องเริ่มกระบวนการพิจารณาเหมือนกรณีทั่วไป
- เพื่อให้การสั่งคดีของอัยการสูงสุดปราศจากการมีส่วนได้เสียและเกี่ยวข้องใดๆ
ต้องห้ามมิให้พนักงานอัยการไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐ
โดยไม่มีข้อยกเว้น
-ให้มีองค์กรที่ทำหน้าที่ในการพิจารณาสั่งฟ้องคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นการเฉพาะ
ซึ่งอาจเรียกชื่อว่า “คณะกรรมการอัยการพิเศษ” เป็นคณะกรรมการเฉพาะกิจสำหรับแต่ละคดี
-
ควรมีองค์กรที่คอยตรวจสอบงบประมาณและการใช้งบประมาณ
เนื่องจากปัญหาการทุจริตมีความเกี่ยวโยงตั้งแต่การจัดทำงบประมาณในชั้นของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
ดังนั้น เพื่อป้องกันการทุจริตจึงควรมี “คณะกรรมการติดตามตรวจสอบงบประมาณและการใช้งบประมาณ”
2.5.3 สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคม
- การคุ้มครองประชาชนหรือผู้แจ้งเบาะแสควรมีมาตรการในการคุ้มครองที่มีหลักประกัน
-การให้ประชาชนสามารถฟ้องร้องคดีได้ควรเป็นมาตรการสุดท้ายที่ไม่มีแนวทางอื่นใด
- องค์กรภาคประชาชนจะต้องเข้ามามีบทบาททั้งในระดับการกำกับการทำหน้าที่ของ
ปปช./ปปท.
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีกฎหมายสนับสนุนภาคเอกชนในการทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริต
- จัดให้มีกองทุนเพื่อสนับสนุนองค์กรภาคประชาชนในการทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ทั้งนี้ อาจมีความเชื่อมโยงกับ “สภาพลเมือง” ที่จะมีการจัดตั้งตามกฎหมายการกระจายอำนาจ
2.5.4 การบริหารภาครัฐมีความโปร่งใสมากขึ้น
- ข้อมูลของราชการควรให้มีความโปร่งใสและเข้าถึงง่าย
โดยข้อมูลที่สำคัญควรให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทางระบบอิเลกทรอนิกส์ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย
-ในการบริหารงานที่มีผลกระทบต่อประชาชนต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินโครงการมาตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นโครงการ
-
องค์กรภาคประชาชนต้องมีส่วนร่วมและสามารถเข้าถึงในกระบวนการตรวจสอบ และการป้องกันและปราบปรามการทุจริตร่วมกับองค์กรภาครัฐมากขึ้นในทุกระดับ
-ให้มีการเปิดเผยข้อมูลและสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างที่มีวงเงินสูงถึงสูงมากในระบบอิเลกทรอนิกส์ที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย
2.5.5
การปรับเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับเรื่องทุจริต
- กำหนดนิยามและความคิดของการ
ทุจริตคอรัปชั่นตามแนวทางขององค์กรความโปร่งใสสากลโยมีความหมายที่กว้างขวางขึ้น
เพื่อนำไปสู่การสร้างกระบวนการปรับเปลี่ยนทัศนะคติและค่านิยม
- รณรงค์การสร้างนิยามและความคิดอย่างต่อเนื่องในสังคม
ด้วยการใช้สื่อทุกประเภทเพื่อการปรับเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวการทุจริตและคอรัปชั่นให้เป็นไปตามทรรศนะที่พึงประสงค์
ที่มา https://kruasri.wordpress.com/author/vkruasri2012/page/4/