วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การทุจริต คอร์รัปชั่น มีผลกระทบต่อสังคม และประเทศชาติอย่างไร

การทุจริต คอร์รัปชั่น มีผลกระทบต่อสังคม และประเทศชาติอย่างไร

เมื่อกล่าวถึง การทุจริต” “การคอร์รัปชั่นหรือ การฉ้อราษฎร์บังหลวง”  มักเข้าใจกันง่าย ๆ ว่าหมายถึง การโกงนั่นเอง  หรือ การไม่ซื่อสัตย์ สุจริต ของบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่ร่วมมือกันทำความชั่วโดยเจตนา มีการไตร่ตรอง วางแผนอย่างมีขั้นตอน หรือมีกระบวนการอย่างแยบยล

                คำว่า ฉ้อราษฎร์บังหลวงมีในสังคมไทยมาแต่โบราณ หมายถึง การโกงประชาชนโดยไม่ให้ทางการเห็นตั้งใจบิดเบือนข้อมูล ให้ผิดจากความเป็นจริง เพื่อให้ตนและพวกพ้องได้ประโยชน์

                ดังนั้น การโกงจึงเปรียบเหมือน มะเร็งร้ายหรือ มหันตภัยเงียบที่คุกคามแอบแฝงอยู่ในสังคมมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน นับวันแต่จะมีกลเม็ดที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น มีผู้เกี่ยวข้องอย่างเป็นกระบวนการ จำนวนหลายฝ่าย หลายคนมากกว่าแต่ก่อน

                 “การโกงเกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนใหญ่เกิดจากความโลภของคนที่อยู่ใกล้ชิดหรือรู้เห็นลู่ทางที่จะกอบโกยผลประโยชน์เข้าตนและพวกพ้อง ถ้าเป็นการ โกงเงินก็จะเริ่มจากผู้ถือเงิน อาจเป็น ฝ่ายเหรัญญิกหรือ คนทำงานการเงิน ของแต่ละหน่วยงาน เห็นเงินแล้วเกิดกิเลสตัณหา อยากได้  ถ้าหากเป็นเงินก้อนใหญ่ มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ก็กระจายความเสี่ยงโดยแบ่งประโยชน์กัน ยิ่งประธาน / หัวหน้างานหรือระดับบริหาร ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจ รู้เห็นเป็นใจ การโกงก็ยิ่งทำได้แนบเนียน สารพัดวิธีการ หลากหลายขั้นตอน ในการหลอกลวงเพื่อตบตาประชาชน หรือคนอื่นซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เสียผลประโยชน์ ทำอย่างไรได้เมื่อเหลือบไรในสังคมสุมหัวกันสูบเลือดเพื่อนพ้องน้องพี่ ก็มีแต่จะผอมซีดและเหี่ยวแห้งตายไปในที่สุด มหันตภัยเงียบนี้แฝงอยู่ในทุกสังคม ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ และองค์การระดับโลก

                “การทุจริตคดโกง มีผลกระทบต่อสังคมและประเทศชาติอย่างไร”  ในเมื่อการโกงเป็น มะเร็งร้ายหรือมหันตภัยเงียบที่คุกคามทุกสังคม มันจึงไม่ต่างอะไรจาก สนิม”(การโกง)ที่กัดกร่อนเหล็ก”(สังคม) หากปล่อยให้เวลาล่วงเลยนานเข้า โครงหลังคาบ้านหรืออาคารขนาดใหญ่ที่เป็นเหล็กก็จะผุกร่อนและสลายไปในที่สุด ดังสำนวนที่ว่า สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตนกัดกร่อนตัวเองจนไม่เหลืออะไร แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร จะนิ่งเงียบเป็นคุณเฉยทำตาปริบ ๆ โดยไม่ช่วยกันหาทางป้องกันหรือแก้ไขสถานการณ์ มะเร็งร้ายที่กำลังคุกคามสังคมก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปกว่านี้อย่างนั้นหรือ

                ในระดับประเทศ รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยมักมีเรื่องราวฉาวโฉ่ การทุจริต คอร์รัปชั่นเพราะมีคนหลายกลุ่มมาเกี่ยวข้องและหลายขั้นตอนการดำเนินงานทุกโครงการที่ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลซึ่งเป็นเงินภาษีจากประชาชนเจ้าของประเทศตัวจริง ทุกโครงการจึงยากแก่การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด เราจึงได้ยินข่าวการทุจริตการสร้างโรงพักตำรวจทั่วประเทศ 396 แห่ง และโครงการไทยเข้มแข็งอย่างมโหฬารของรัฐบาลชุดก่อน และข่าวเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวจำนวนหลายแสนล้านของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โครงการบริหารจัดการน้ำจำนวน 3.5แสนล้านที่กำลังดำเนินอยู่ก็ไม่ค่อยโปร่งใสนัก รวมทั้งโครงการพัฒนาโครงสร้างการคมนาคมของประเทศที่มีเม็ดเงินมหาศาลถึง 2.2  ล้านล้านบาทที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างน้อย ๆ ก็ค่าเปอร์เซ็นต์หรือที่เขาเรียกว่าค่า คอมมิชชั่นจากเมื่อก่อนร้อยละ 10 ปัจจุบันกล่าวกันว่ากระเถิบสูงถึงร้อยละ 30-40 แสดงว่าการพัฒนาแต่ละโครงการตกถึงประชาชนหรือประชาชนได้รับประโยชน์จริงเพียงร้อยละ 60-70 ของเงินงบประมาณที่หว่านลงมาในแต่ละโครงการ นี่ยังไม่นับค่าใต้โต๊ะเพื่อให้ได้งานที่เขาเรียกกันว่า ค่าฮั้ว และอาจมีเม็ดเงินส่วนอื่นอีกที่ทำให้ผลประโยชน์ของส่วนรวมเสียไป

                “จะป้องกันแก้ไข ปัญหาการทุจริตคดโกงได้อย่างไรนอกจากช่วยกันเป็นหูเป็นตากระจายข่าวการโกงให้สังคมรับรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ผ่านสื่อทุกประเภททั้ง หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์มีส่วนในการเปิดโปงกระบวนการทำงานของคนชั่วเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพสูงยิ่งในปัจจุบัน หากกลุ่มคนรักและห่วงใยสังคมรวมตัวกันเป็นเครือข่าย ทำงานอย่างจริงจังก็จะช่วยได้ไม่น้อย

                “งานศิลปวัฒนธรรม จะมีบทบาทในการป้องกันและแก้ไขปัญหา การทุจริตคดโกงได้อย่างไรในฐานะท่านเป็นศิลปินน้อยใหญ่ทั้งหลาย ท่านสามารถ ติดอาวุธทางปัญญาให้สังคมเสพงานศิลปวัฒนธรรมสาขาที่ท่านถนัดหรือสนใจ โดยการขยันสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพออกสู่สาธารณชนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผลงานด้าน วรรณกรรม”  งานศิลปวัฒนธรรมด้าน ภาพวาดหรือ ทัศนศิลป์ ตลอดจนสื่อพื้นบ้านอย่างศิลปการแสดงดนตรีและหมอลำที่มีเนื้อหาสาระสะท้อนถึงภัยของความไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือชี้ให้เห็นความเลวร้ายของ การทุจริต โกงกินเป็นการปลูกจิตสำนึกที่ดีงามแผ่เป็นวงกว้างออกไปจนมีปริมาณมากพอ สู่เยาวชน นักเรียนและประชาชน ที่มาเข้าร่วมโครงการ ศิลปินสัญจรสอนศิลป์ถิ่นทุรกันดารในครั้งนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนต้นกล้าพันธุ์ดีที่จะเติบโตเป็นข้าวปลูกในวันข้างหน้า ที่พร้อมจะหว่านลงไปในดินที่มีความชื้นและอุณหภูมิพอเหมาะ ก็จะงอกงามเจริญเติบโตเป็นต้นกล้าและข้าวปลูกพันธุ์ดีของแผ่นดิน ของสังคมประเทศชาติ กลายเป็นเครือข่าย เป็นกำแพงล้อมรอบปกป้องสังคม ให้อยู่รอดปลอดภัย และมีความสุขกันถ้วนหน้าจากเงินภาษีที่เป็นน้ำพักน้ำแรงของเราอย่างภาคภูมิ...

ที่มาhttp://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000034459


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น