การทุจริต คอร์รัปชั่น
มีผลกระทบต่อสังคม และประเทศชาติอย่างไร
เมื่อกล่าวถึง “การทุจริต” “การคอร์รัปชั่น” หรือ
“การฉ้อราษฎร์บังหลวง” มักเข้าใจกันง่าย ๆ ว่าหมายถึง “การโกง” นั่นเอง
หรือ การไม่ซื่อสัตย์ สุจริต ของบุคคลกลุ่มหนึ่ง
ที่ร่วมมือกันทำความชั่วโดยเจตนา มีการไตร่ตรอง วางแผนอย่างมีขั้นตอน
หรือมีกระบวนการอย่างแยบยล
คำว่า “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” มีในสังคมไทยมาแต่โบราณ หมายถึง “การโกงประชาชนโดยไม่ให้ทางการเห็น” ตั้งใจบิดเบือนข้อมูล
ให้ผิดจากความเป็นจริง เพื่อให้ตนและพวกพ้องได้ประโยชน์
ดังนั้น “การโกง” จึงเปรียบเหมือน “มะเร็งร้าย”
หรือ “มหันตภัยเงียบ” ที่คุกคามแอบแฝงอยู่ในสังคมมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
นับวันแต่จะมีกลเม็ดที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น มีผู้เกี่ยวข้องอย่างเป็นกระบวนการ
จำนวนหลายฝ่าย หลายคนมากกว่าแต่ก่อน
“การโกง” เกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนใหญ่เกิดจาก”ความโลภ”
ของคนที่อยู่ใกล้ชิดหรือรู้เห็นลู่ทางที่จะกอบโกยผลประโยชน์เข้าตนและพวกพ้อง
ถ้าเป็นการ “โกงเงิน” ก็จะเริ่มจากผู้ถือเงิน
อาจเป็น “ฝ่ายเหรัญญิก” หรือ
คนทำงานการเงิน ของแต่ละหน่วยงาน เห็นเงินแล้วเกิดกิเลสตัณหา อยากได้ ถ้าหากเป็นเงินก้อนใหญ่
มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ก็กระจายความเสี่ยงโดยแบ่งประโยชน์กัน ยิ่งประธาน /
หัวหน้างานหรือระดับบริหาร ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจ รู้เห็นเป็นใจ “การโกง” ก็ยิ่งทำได้แนบเนียน สารพัดวิธีการ
หลากหลายขั้นตอน ในการหลอกลวงเพื่อตบตาประชาชน
หรือคนอื่นซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เสียผลประโยชน์
ทำอย่างไรได้เมื่อเหลือบไรในสังคมสุมหัวกันสูบเลือดเพื่อนพ้องน้องพี่
ก็มีแต่จะผอมซีดและเหี่ยวแห้งตายไปในที่สุด “มหันตภัยเงียบ”
นี้แฝงอยู่ในทุกสังคม ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ
และองค์การระดับโลก
“การทุจริตคดโกง
มีผลกระทบต่อสังคมและประเทศชาติอย่างไร”
ในเมื่อ”การโกง” เป็น
“มะเร็งร้าย” หรือ”มหันตภัยเงียบ” ที่คุกคามทุกสังคม
มันจึงไม่ต่างอะไรจาก “สนิม”(การโกง)ที่กัดกร่อน”เหล็ก”(สังคม) หากปล่อยให้เวลาล่วงเลยนานเข้า
โครงหลังคาบ้านหรืออาคารขนาดใหญ่ที่เป็นเหล็กก็จะผุกร่อนและสลายไปในที่สุด
ดังสำนวนที่ว่า “สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน” กัดกร่อนตัวเองจนไม่เหลืออะไร แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร จะนิ่งเงียบเป็น”คุณเฉย”ทำตาปริบ ๆ
โดยไม่ช่วยกันหาทางป้องกันหรือแก้ไขสถานการณ์ “มะเร็งร้าย”ที่กำลังคุกคามสังคมก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปกว่านี้อย่างนั้นหรือ
ในระดับประเทศ
รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยมักมีเรื่องราวฉาวโฉ่ “การทุจริต
คอร์รัปชั่น” เพราะมีคนหลายกลุ่มมาเกี่ยวข้องและหลายขั้นตอนการดำเนินงานทุกโครงการที่ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลซึ่งเป็นเงินภาษีจากประชาชนเจ้าของประเทศตัวจริง
ทุกโครงการจึงยากแก่การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด
เราจึงได้ยินข่าวการทุจริตการสร้างโรงพักตำรวจทั่วประเทศ 396 แห่ง
และโครงการไทยเข้มแข็งอย่างมโหฬารของรัฐบาลชุดก่อน
และข่าวเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวจำนวนหลายแสนล้านของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
โครงการบริหารจัดการน้ำจำนวน 3.5แสนล้านที่กำลังดำเนินอยู่ก็ไม่ค่อยโปร่งใสนัก
รวมทั้งโครงการพัฒนาโครงสร้างการคมนาคมของประเทศที่มีเม็ดเงินมหาศาลถึง 2.2 ล้านล้านบาทที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
อย่างน้อย ๆ ก็ค่าเปอร์เซ็นต์หรือที่เขาเรียกว่าค่า “คอมมิชชั่น”
จากเมื่อก่อนร้อยละ 10 ปัจจุบันกล่าวกันว่ากระเถิบสูงถึงร้อยละ
30-40
แสดงว่าการพัฒนาแต่ละโครงการตกถึงประชาชนหรือประชาชนได้รับประโยชน์จริงเพียงร้อยละ
60-70 ของเงินงบประมาณที่หว่านลงมาในแต่ละโครงการ
นี่ยังไม่นับค่าใต้โต๊ะเพื่อให้ได้งานที่เขาเรียกกันว่า ค่าฮั้ว
และอาจมีเม็ดเงินส่วนอื่นอีกที่ทำให้ผลประโยชน์ของส่วนรวมเสียไป
“จะป้องกันแก้ไข
ปัญหาการทุจริตคดโกงได้อย่างไร” นอกจากช่วยกันเป็นหูเป็นตากระจายข่าวการโกงให้สังคมรับรู้ด้วยวิธีการต่าง
ๆ ผ่านสื่อทุกประเภททั้ง หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์โดยเฉพาะสื่อ”สังคมออนไลน์” มีส่วนในการเปิดโปงกระบวนการทำงานของคนชั่วเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพสูงยิ่งในปัจจุบัน
หากกลุ่มคนรักและห่วงใยสังคมรวมตัวกันเป็นเครือข่าย
ทำงานอย่างจริงจังก็จะช่วยได้ไม่น้อย
“งานศิลปวัฒนธรรม
จะมีบทบาทในการป้องกันและแก้ไขปัญหา การทุจริตคดโกงได้อย่างไร” ในฐานะท่านเป็นศิลปินน้อยใหญ่ทั้งหลาย ท่านสามารถ “ติดอาวุธทางปัญญา”ให้สังคมเสพงานศิลปวัฒนธรรมสาขาที่ท่านถนัดหรือสนใจ
โดยการขยันสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพออกสู่สาธารณชนอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นผลงานด้าน “วรรณกรรม” งานศิลปวัฒนธรรมด้าน “ภาพวาด” หรือ ทัศนศิลป์
ตลอดจนสื่อพื้นบ้านอย่างศิลปการแสดง”ดนตรีและหมอลำ” ที่มีเนื้อหาสาระสะท้อนถึงภัยของความไม่ซื่อสัตย์สุจริต
หรือชี้ให้เห็นความเลวร้ายของ “การทุจริต โกงกิน” เป็นการปลูกจิตสำนึกที่ดีงามแผ่เป็นวงกว้างออกไปจนมีปริมาณมากพอ สู่เยาวชน
นักเรียนและประชาชน ที่มาเข้าร่วมโครงการ “ ศิลปินสัญจรสอนศิลป์ถิ่นทุรกันดาร”ในครั้งนี้
ซึ่งเปรียบเสมือนต้นกล้าพันธุ์ดีที่จะเติบโตเป็นข้าวปลูกในวันข้างหน้า
ที่พร้อมจะหว่านลงไปในดินที่มีความชื้นและอุณหภูมิพอเหมาะ
ก็จะงอกงามเจริญเติบโตเป็นต้นกล้าและข้าวปลูกพันธุ์ดีของแผ่นดิน
ของสังคมประเทศชาติ กลายเป็นเครือข่าย เป็นกำแพงล้อมรอบปกป้องสังคม
ให้อยู่รอดปลอดภัย
และมีความสุขกันถ้วนหน้าจากเงินภาษีที่เป็นน้ำพักน้ำแรงของเราอย่างภาคภูมิ...
ที่มาhttp://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000034459
ที่มาhttp://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000034459
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น